+ “ไมค์อัดเสียง” ยี่ห้อไหนดี 2021 รวมมาแล้ว รีวิว 10 ยี่ห้อ +

By สุโสภาภรณ์ แดงอุบล

ไมค์อัดเสียง เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพในการบันทึกเสียง สำหรับใช้ในการทำวิดีโอคอนเท้นต์ พ็อดคาสต์ ร้องเพลง หรือแม้กระทั่งในการประชุมออนไลน์ในยุคโควิด ให้งานที่ออกมาดูโปรมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยความต้องการที่หลากหลายสำหรับการบันทึกเสียง จึงมีการออกแบบเทคโนโลยีของไมโครโฟนให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละประเภทการใช้ ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับวิธีการเลือกซื้อ ทำความรู้จักกับไมค์แบบต่าง ๆ พร้อมแนะนำ ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดี ที่น่าใช้ และตอบโจทย์การใช้งานของคุณครับ

วิธีการเลือกซื้อไมโครโฟนอัดเสียง

การเลือกซื้อไมค์อัดเสียง ควรดูลักษณะการใช้งานให้ถูกกับประเภทของไมค์ โดยประเภทที่นิยมในปัจจุบันจะมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่

ไมค์คอนเดนเซอร์ (Condenser microphone) เน้นการบันทึกเสียงหลายย่านความถี่ ไมค์คอนเดนเซอร์รับเสียงกลางถึงสูงได้ดีมาก เสียงที่ได้จะมีความใส กังวาน จึงนิยมใช้ในห้องบันทึกเสียง ใช้อัดเสียงเครื่องดนตรีที่มีความถี่สูง รวมทั้งเป็นไมโครโฟนในการประชุมอีกด้วย

ไมค์ไดนามิค (Dynamic microphone) เป็นไมโครโฟนที่ทนทาน บันทึกเสียงได้หลายย่านความถี่ เหมาะกับงานทุกประเภท คอนเสิร์ต อีเว้นท์ กิจกรรมต่าง ๆ

เลือกซื้อไมค์อัดเสียง ต้องดูทิศทางการรับเสียง

คาร์ดิออยด์ (Cardioid) รับเสียงจากด้านหน้าของไมโครโฟน เหมาะสำหรับการถ่ายทำวิดีโอ ใช้ในสตูดิโอ ไลฟ์สด ช่วยลดเสียงจากทิศทางอื่นที่เข้ามารบกวนได้

Super Cardioid รับเสียงจากด้านหน้าของไมโครโฟน แต่จะแคบกว่าคาร์ดิออยด์ หรือรับเสียงเสียงจากด้านข้าง ๆ ได้น้อยลง นอกจากนี้ยังเพิ่มการรับเสียงจากด้านหลังได้อีกด้วย เวลาใช้งานในสตูดิโอ อาจจะเกิดเสียงสะท้อน เสียงก้องจากทางด้านหลัง ได้มากกว่า Cardioid

Hyper Cardioid รับเสียงด้านหน้าได้แคบกว่า Super Cardioid และรับเสียงด้านหลังได้มากกว่า Super Cardioid

Bidirectional (Figure 8) รับเสียงด้านข้างได้น้อยมาก หรือไม่ได้เลย เน้นรับเสียงทางด้านหน้าและด้านหลัง มักจะเป็นไมโครโฟนระดับมืออาชีพ นิยมใช้ในห้องดนตรี ห้องอัดเสียง รวมถึงเหมาะสำหรับกรณีที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ที่ต้องวางไมค์บันทึกเสียงไว้ระหว่างผู้ดำเนินรายการ และผู้ถูกสัมภาษณ์

Omidirectional รับเสียงจากทุกทิศทาง ทั้งเสียงพูด เสียงร้อง เสียงบรรยากาศโดยรอบอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็อาจจะได้เสียงรบกวนหรือเสียงที่ไม่ต้องการมาด้วย อาจเกิดเสียงหอนได้ เวลาพูดจะต้องใกล้ไมโครโฟนนิดหนึ่งครับ

ตารางเปรียบเทียบรีวิว “ไมค์อัดเสียง” ยี่ห้อไหนดี

สำหรับใครที่ไม่ค่อยมีเวลาอ่าน อยากดูไมค์อัดเสียงแบบสั้น ๆ วางเรียงเปรียบเทียบ ราคา, รูปแบบการรับเสียง, ลักษณะหัวเชื่อมต่อ, ความไวเสียง และอื่น ๆ เพื่อช่วยให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น แนะนำให้กดเข้าไปที่ปุ่มสีแดงด้านล่างได้เลย หรือถ้าอยากอ่านแบบเต็ม ๆ ก็เลื่อนผ่านปุ่มสีแดง ไปดูรีวิวสินค้าต่อเลยครับ

1. HyperX SoloCast

HyperX SoloCast ไมค์อัดเสียงที่เกมเมอร์ต้องเลิฟฟฟฟ เพราะแค่เสียบสาย USB เข้ากับอุปกรณ์เล่นเกม ไมโครโฟนก็พร้อมใช้งาน ใช้ได้ทั้งกับคอมพิวเตอร์ PC, Mac, PS4, PS5 สะดวกสุด ๆ เป็นไมค์คอนเดนเซอร์ (Condenser) ที่มีการรับเสียงแบบคาร์ดิออย (Cardioid Directional) รับสัญญาณเสียงทางเดียวจากด้านหน้าไมโครโฟนเท่านั้น ซึ่งเหมาะมาก ๆ กับเหล่าเกมเมอร์ ที่แคสเกมคนเดียวเป็นปกติอยู่แล้ว จะออกแอคชั่นมากแค่ไหนก็ยังได้เสียงบันทึกที่คมชัด ทั้งยังไม่ค่อยมีเสียงรบกวนด้วยครับ

นอกจากการแคสเกมแล้ว ในปัจจุบันเหล่าเกมเมอร์ยังมีการสตรีมเกมด้วย ซึ่งไมโครโฟนตัวนี้ก็สามารถทำหน้าที่ขยายเสียงให้ผู้ชมได้รับฟังกันอย่างชัดเจน โดยไม่ค่อยมีเสียงรบกวนเช่นกัน ใช้ได้กับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยอดนิยม ทั้ง Streamlabs OBS, OBS Studio และ XSplit แน่นอนว่าการไลฟ์สด บางครั้งอาจเกิดสถานการณ์ที่จำเป็นต้องปิดไมค์อย่างฉุกเฉิน ซึ่งนับเป็นอีก 1 ข้อดีที่สะดวกมากของรุ่นนี้ เพราะมีปุ่มปิดเสียงติดอยู่บนหัวไมโครโฟนเลย พร้อมไฟแสดงสถานะด้านหน้าไมโครโฟน เพื่อให้รู้ว่าเปิดเสียงหรือปิดเสียงอยู่นั่นเองครับ

ประเภท / รูปแบบ Condenser / Cardioid ตัวเชื่อมต่อ USB 2.0 Full Speed ความถี่เสียง / ความไวเสียง 20Hz-20kHz / -6dBFS (1V/Pa at 1kHz) อุปกรณ์ที่รองรับ Windows 7 ขึ้นไป / Mac OS / PS4 / PS5 น้ำหนัก 261g (ไมโครโฟน) / 125g (ขาตั้ง) สี ดำ

2. BOYA BY-M1 Lavalier Mic

พ่อค้าแม่ขายที่กำลังมองหาไมค์ไลฟ์สดขายของ และกำลังตัดสินใจที่จะซื้อไมโครโฟนไร้ยี่ห้อเพราะราคาถูก หยุดความคิดนั้นไว้ก่อนเลยครับ เพราะเราจะมาแนะนำไมค์ไลฟ์สดแบรนด์ดังอย่าง BOYA ในราคาไม่ถึง 500 บาท กับรุ่นที่ชื่อว่า BY-M1 Lavalier Mic เป็นไมค์คอนเดนเซอร์ (Condenser) แบบหนีบปกเสื้อ รับเสียงได้รอบทิศทาง (Omni Directional) ตัวไมโครโฟนให้คุณภาพเสียงที่ดี มีฟองน้ำช่วยลดเสียงรบกวนจากลม เวลาเปิดแอร์หรือพัดลมตอนไลฟ์ขายของจะได้ไม่มีเสียงลมดังฟู่ ๆ ให้ลูกค้าหงุดหงิดใจ

เวลาใช้งานก็สะดวกมาก เพียงเสียบแจ็คเข้ากับโทรศัพท์มือถือ ไมโครโฟนก็พร้อมใช้งาน ไม่ต้องลงโปรแกรมอะไรให้ยุ่งยาก มาพร้อมสายยาว 6 เมตร ช่วยให้ขยับท่าทางได้อย่างคล่องตัว ไม่ต้องกังวลเรื่องสายไมค์จะดึงรั้งให้โทรศัพท์หล่นลงมาเสียหาย ทั้งยังไม่ต้องคอยชาร์จไฟ ใส่ถ่านกระดุม LR44 เพียงเม็ดเดียวก็ใช้งานได้ทันที ซึ่งนอกจากการใช้งานร่วมกับโทรศัพท์มือถือแล้ว ไมโครโฟนรุ่นนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น กล้อง DSLR, กล้องวิดีโอ, เครื่องบันทึกเสียง รวมไปถึงคอมพิวเตอร์ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน คำเตือนต้องระวังของปลอม เลือกซื้อเฉพาะร้านที่เชื่อใจได้เท่านั้นครับ

ประเภท / รูปแบบ Condenser / Omni Directional ตัวเชื่อมต่อ 3.5mm TRRS mini-jack ความถี่เสียง / ความไวเสียง 65Hz-18kHz / -30dB ± 3dB (0dB=1v/pa@1kHz) อุปกรณ์ที่รองรับ Smartphone / Windows / Mac OS / Camera น้ำหนัก 2.5g (ไมโครโฟน) / 18g (Power Module) สี ดำ

3. Saramonic SR-M3

สำหรับ YouTuber มืออาชีพ ใช้กล้อง DSLR ถ่ายทำคอนเทนต์ เราขอแนะนำตัวช่วยในการบันทึกเสียงคุณภาพสูงให้กับวิดีโอของคุณ ด้วย Saramonic SR-M3 ไมค์คอนเดนเซอร์น้ำหนักเบาตัวนี้ครับ ด้วยฟังก์ชั่นตัดเสียงรบกวนที่ความถี่ 200Hz กับสวิตช์เพิ่มระดับเสียง +10dB จึงช่วยเพิ่มความชัดเจนให้กับทุกการบันทึกบทสนทนา มาพร้อมช่องเสียบหูฟังที่สามารถเช็คเสียงขณะบันทึกได้ และยังมีช่องเสียบไมโครโฟนเสริมขนาด 3.5 มิลลิเมตร ให้เชื่อมต่อไมโครโฟนอีกตัวเพื่อบันทึกเสียงลงกล้องพร้อมกันได้อีกด้วย

ทั้งยังสะดวกมาก ๆ ไม่ต้องนำไมโครโฟนไปติดที่ตัวผู้พูด แค่ติดไมโครโฟนรุ่นนี้เข้ากับหัวกล้อง แล้วเสียบแจ็คขนาด 3.5mm TRS ก็เป็นอันเสร็จ พร้อมถ่ายทำทันที ด้วยการรับเสียงแบบช็อตกัน (Shotgun) จึงจับคลื่นเสียงได้ค่อนข้างไว และมีเสียงรบกวนน้อยมาก โดยเป็นการรับเสียงแบบทางตรงด้านหน้าไมโครโฟนคล้ายคาร์ดิออย (Cardioid Directional) แต่ช็อตกันจะมีวงรับเสียงที่แคบกว่า ทำให้เสียงออกมาพุ่งกว่าครับ ถึงจะดูเป็นอุปกรณ์สำหรับมืออาชีพขนาดนี้ แต่ราคาก็ไม่ได้เป็นหลักหมื่นหลักแสน แค่หลักพันต้น ๆ เท่านั้นเอง ลงทุนเพียงเท่านี้ แต่ได้งานคุณภาพดี คุ้มสุด

ประเภท / รูปแบบ Condenser / Shotgun ตัวเชื่อมต่อ 3.5mm TRS ความถี่เสียง / ความไวเสียง 75Hz–18kHz / -37dB ± 1dB อุปกรณ์ที่รองรับ Camera / Camcorder น้ำหนัก 30g สี ดำ

4. SHURE MV7

หากใครคลุกคลีอยู่ในวงการโปรดิวเซอร์, ซาวน์เอนจิเนียร์ หรือเป็นพอดแคสเตอร์มืออาชีพ ต้องรู้จักไมโครโฟนระดับตำนานตัวนี้ SHURE SM7B เพราะหากย้อนไปในช่วงที่เปิดตัว ปี 2001 ถือเป็นไมโครโฟนเพียงไม่กี่ตัวที่ให้โทนเสียงอบอุ่น สามารถใช้งานได้หลากหลาย โดยถูกใช้ในสตูดิโอระดับมืออาชีพมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ เรียกว่าจัดอยู่ในระดับยอดเยี่ยมและสมบูรณ์แบบเลยทีเดียวครับ ซึ่ง SM7B ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของรุ่น MV7 นี้เลย เป็นไมค์ไดนามิก (Dynamic) ที่มีเอาต์พุตทั้ง USB และ XLR เพื่อใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เฟซระดับมืออาชีพ

และเพื่อให้สมกับการเป็นพอดแคสต์ไมโครโฟนคู่ใจของมืออาชีพ จึงมีรูปแบบการรับเสียงเป็นคาร์ดิออย (Cardioid Directional) รับเสียงจากด้านหน้าทางเดียว ขจัดเสียงรบกวนรอบข้างที่ไม่ต้องการ คุณภาพเสียงที่ได้จึงดีเยี่ยม ใส เคลียร์ ชัดเจน และแน่นอนว่าสินค้าระดับแบรนด์ดังเก่าแก่จากอเมริกาที่มีชื่อเสียงมากว่าร้อยปีแบบนี้ ราคาก็แอบสูงนิดหน่อยถ้าเทียบกับเจ้าอื่น ๆ แต่ก็มั่นใจได้ในคุณภาพและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ทั้งยังผลิตจากโลหะที่ทนทานต่อการกระแทกและอุบัติเหตุที่อาจเกิดได้ในสตูดิโอ ซื้อครั้งเดียวแต่ใช้ได้ตลอดชีวิต ถือว่าไม่แพงครับสำหรับราคานี้

ประเภท / รูปแบบ Dynamic / Cardioid ตัวเชื่อมต่อ USB / XLR ความถี่เสียง / ความไวเสียง 20Hz-20kHz / -55dBV/Pa อุปกรณ์ที่รองรับ Mac OS / Windows 10 / iOS 12 ขึ้นไป / Android Oreo 8.0 ขึ้นไป น้ำหนัก 550g สี ดำ / เงิน

5. NUBWO M66

เพราะเรื่องเล่นก็จริงจังได้ ดังนั้นใครที่อยากหาไมโครโฟนอัดเสียงตัวเล็ก ๆ ราคาเบา ๆ มาใช้สนุก ๆ ในโซเชียลมีเดียของตัวเอง ไม่ว่าจะทำคลิปลง TikTok, ร้องคาราโอเกะใน WeSing หรืออาจจะแค่คอลคุยกับเพื่อนกับแฟน แนะนำเป็นตัวนี้ครับ NUBWO M66 ไมค์คอนเดนเซอร์ (Condenser) ราคาน่าคบหา เพียงหลักร้อยต้น ๆ ตัวเล็กกะทัดรัด น้ำหนักแค่ 136 กรัม เท่านั้นเอง ซึ่งทางแบรนด์ก็ออกตัวเลยว่ารุ่นนี้ออกแบบพิเศษสำหรับการใช้งานกับพวกโซเชียลมีเดียนี่แหละครับ

การเชื่อมต่อเป็นแบบ Plug and Play แค่เสียบแจ็คขนาด 3.5 มิลลิเมตร เข้ากับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน ไมโครโฟนก็พร้อมใช้งาน ไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่มให้ยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องหาอุปกรณ์เสริมใด ๆ มาเพิ่มเลย เพราะเขาให้ขาตั้งมาด้วยในเซ็ต เป็นขนาดเล็ก ๆ สูงแค่ 20.5 เซนติเมตร พกพาไปด้วยกันกับไมโครโฟนได้อย่างสะดวกเลยครับ ในเรื่องของการดีไซน์ก็เรียบ ๆ มีให้เลือก 2 สี คือสีดำล้วน ดำทั้งตัวไปจนถึงสายเลย ส่วนอีกสีเป็นดำ-แดง ตัวบอดี้สีดำ หัวไมค์เป็นสีเงิน และมีเพิ่มลูกเล่นแถบสีแดงให้ตัดกับสีดำ ทั้งยังให้สายไมโครโฟนเป็นสีแดงอีกด้วย

ประเภท / รูปแบบ Condenser / Cardioid ตัวเชื่อมต่อ 3.5mm ความถี่เสียง / ความไวเสียง 50Hz–16KHz / -55dB ± 2dB อุปกรณ์ที่รองรับ Smartphone / Computer น้ำหนัก 136g สี ดำ / ดำ-แดง

6. SENNHEISER MKE 200

SENNHEISER MKE 200 ไมค์อัดเสียงติดหัวกล้องตัวจิ๋ว ที่ใช้ได้กับหลากหลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะกล้อง DSLR, กล้องมิลเลอร์เลส (Mirrorless Camera) รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือ ด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัด เพียง 48 กรัม มาพร้อมรูปทรงเพรียวบาง ขนาด 69 x 60 x 39 มิลลิเมตร จึงสะดวกพกพาไปพร้อมกับอุปกรณ์ถ่ายวิดีโอ เห็นจิ๋ว ๆ อย่างนี้ แต่แจ๋วนะครับ เป็นคอนเดนเซอร์ไมโครโฟน (Condenser Microphone) ที่ใช้ไดอะแฟรมชนิด Pre-Polarized ทนความดังเสียงได้สูงถึง 160dB SPL

โดยมีรูปแบบการรับเสียงเป็นซูเปอร์คาร์ดิออย (Supercardioid) คือนอกจากจะสามารถรับเสียงจากด้านหน้าไมโครโฟนได้เหมือนแบบคาร์ดิออยแล้ว ยังสามารถรับเสียงจากทางด้านหลังได้อีกด้วย คอนเทนต์ใครเป็นสไตล์แบบคุยกับตากล้องไปด้วยก็เหมาะเลยครับกับไมโครโฟนแบบนี้ มี Built-In Windscreen กันลมในตัว และตัวดูดซับแรงกระแทก (Shock Mount) ซึ่งเมื่อมีคุณสมบัติทั้ง 2 นี้รวมกัน มั่นใจได้เลยว่าคุณภาพเสียงที่บันทึกมาจะมีความใสไร้เสียงรบกวนครับ

ประเภท / รูปแบบ Pre-Polarized Condenser / Supercardioid ตัวเชื่อมต่อ 3.5mm Locking Jack ความถี่เสียง / ความไวเสียง 40-20,000Hz / -33dB V/Pa อุปกรณ์ที่รองรับ DSLR / Mirrorless Camera / Mobile Device น้ำหนัก 48g สี ดำ

7. beyerdynamic FOX

USB Microphone ตัวแรก จากสุดยอดตำนานแบรนด์หูฟังแห่งเยอรมนี ที่ผลิตมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยหูฟัง beyerdynamic ถือว่าได้มาตรฐานของวงการเพลงที่มืออาชีพในสตูดิโอส่วนใหญ่เลือกใช้ เพราะมีคุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยมระดับสุดยอด แน่นอนว่าเมื่อแบรนด์ออกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเสียงซึ่งเป็นทางถนัด ไมโครโฟนอัดเสียงตัวนี้ย่อมต้องสุดยอดอย่างแน่นอนครับ อย่างเรื่องความละเอียดของไฟล์เสียงที่บันทึกนั้น จะได้คุณภาพระดับเดียวกันกับสตูดิโอบันทึกเสียงมืออาชีพเลยทีเดียว

และด้วยการแปลงสัญญาณเสียงที่แม่นยำจากแคปซูลคอนเดนเซอร์ไดอะแฟรมขนาดใหญ่ จึงสามารถเก็บเสียงได้อย่างครบถ้วน ใช้งานได้ตั้งแต่ระดับมือสมัครเล่นไปจนถึงมืออาชีพเลยครับ เก็บได้หมดไม่ว่าจะเสียงร้องหรือเสียงเครื่องดนตรี หรือจะเป็นสายครีเอเตอร์อย่างพอดแคสเตอร์หรือเกมเมอร์ก็ใช้ได้เช่นกัน นอกจากคุณภาพที่เรียกว่าเป็นระดับ Professional แล้ว การดีไซน์ก็ยังโดดเด่น ราวกับเป็นของตกแต่งเพิ่มความมีระดับให้กับสตูดิโอ แถมยังใช้งานได้ดีเป็นอย่างมากอีกด้วย

ประเภท / รูปแบบ Condenser / Cardioid ตัวเชื่อมต่อ USB ความถี่เสียง / ความไวเสียง 20-20.000Hz / -15dBFS/-33dBFS อุปกรณ์ที่รองรับ Mac OS / Windows / iOS / Android น้ำหนัก 454g สี ดำ

8. SIGNO MP-704

เมื่อแรกเห็น SIGNO MP-704 ทั้งเซ็ต ก็ทำให้นึกไปถึงบรรยากาศในห้องจัดรายการวิทยุ ด้วยขาตั้งแบบยึดติดกับขอบโต๊ะ ทำให้ไมโครโฟนอัดเสียงหลักร้อยกลาง ๆ ดูเป็นระดับ Professional ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งนอกจากขาตั้งนี้แล้ว ในเซ็ตราคานี้ยังมีฟิลเตอร์กันลม (Windscreen), ฟองน้ำครอบหัวไมค์ (Mic. Sponge) และคลิปหนีบไมค์ นอกจากจะช่วยเพิ่มอารมณ์ความเป็นมืออาชีพแล้ว อุปกรณ์เสริมทุกชิ้นยังมีประโยชน์ในการใช้งานอีกด้วยนะครับ

ตัวไมโครโฟนเป็นแบบคอนเดนเซอร์ (Condenser) รับสัญญาณเสียงได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ในทิศทางจากด้านหน้าไมโครโฟนโดยตรงเท่านั้น (Uni-Directional) เสียงที่มาจากทางอื่น ๆ จะเข้าไปได้น้อยกว่า เรียกว่าเป็นการลดเสียงรบกวนจากรอบข้างนั่นเอง เหมาะสำหรับอัดเสียงร้อง, อัดเสียงเครื่องดนตรี หรือจะเป็นสายเกมเมอร์ แคสเกมหรือสตรีมมิ่งก็เหมาะ ขอให้เป็นงานแบบอยู่กับที่ได้หมดเลยครับ เพราะด้วยขาตั้งแบบยึดติดกับขอบโต๊ะ คงไม่สะดวกในการพกพานำไปใช้นอกสถานที่ และไมโครโฟนรุ่นนี้ใช้กำลังไฟค่อนข้างเยอะ จึงแนะนำให้ใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจะดีที่สุด

ประเภท / รูปแบบ Condenser / Uni-Directional ตัวเชื่อมต่อ USB Type-B ความถี่เสียง / ความไวเสียง 30Hz-20kHz / 32dB±5dB อุปกรณ์ที่รองรับ Mac OS / Windows น้ำหนัก 215g สี ดำ

9. Audio Technica ATR2500x USB

ATR2500x USB ไมโครโฟนอัดเสียงจาก Audio Technica แบรนด์อุปกรณ์เครื่องเสียงมืออาชีพชั้นนำระดับโลก จะทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์เสียงที่บันทึกด้วยคุณภาพระดับสตูดิโอ ซึ่งสร้างได้จากที่บ้านของคุณเอง ด้วยประสิทธิภาพจากไมค์คอนเดนเซอร์ (Condenser) ที่รับสัญญาณเสียงได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และชัดเจน เสียงที่ได้จึงมีความสมบูรณ์และสมจริง โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์หรือโปรแกรมอื่น ๆ ช่วยในการแต่งเสียง เพียงเชื่อมต่อ USB เข้ากับคอมพิวเตอร์ก็พร้อมใช้งานได้เลยครับ

ไม่เพียงเท่านั้น หากเปลี่ยนปลายทางการเชื่อมต่อจาก USB เป็น USB-C หรือ Lightning ก็จะสามารถอัดเสียงลงโทรศัพท์มือถือได้เช่นกัน โดยสายเคเบิลที่แถมมาให้ในกล่องจะมี 2 เส้น คือ Micro USB to USB-A และ Micro USB to USB-C ดังนั้นหากใครที่ต้องการอัดเสียงจากไมโครโฟนรุ่นนี้ลงไอโฟนหรือไอแพด ต้องหา Micro USB to Lightning มาใช้เชื่อมต่อด้วยนะครับ

ประเภท / รูปแบบ Condenser / Cardioid ตัวเชื่อมต่อ Micro USB to USB-A / USB-C / Lightning ความถี่เสียง / ความไวเสียง 30-15,000 Hz / 30dB อุปกรณ์ที่รองรับ Mac OS / Windows / iOS / Android น้ำหนัก 366g สี ดำ

10. RAZER SEIREN MINI

ไมโครโฟนอัดเสียงที่เห็นกันโดยทั่วไป แทบจะทั้งหมดเป็นสีดำ แต่ RAZER หนึ่งในแบรนด์ที่ได้การยอมรับมากที่สุดในวงการเกมและอีสปอร์ตระดับโลก ได้เสนอทางเลือกที่แตกต่างในการเพิ่มสีสันให้สมกับเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำสำหรับเกมเมอร์ ด้วย RAZER SEIREN MINI ที่นอกจากจะมีสีเบสิคอย่างสีดำแล้ว ยังมีสีชมพู Quart Pink และสีขาว Mercury White ออกมาเอาใจเกมเมอร์สาว ๆ สายหวานอีกด้วยครับ

ซึ่งการเอาใจเกมเมอร์สาว ๆ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะตัวไมโครโฟนก็มาในไซส์มินิ ขนาด 3.5 x 3.5 x 6.4 นิ้ว เท่านั้นเอง น่ารักปุ๊กปิ๊กมาก ๆ ถึงตัวจะเล็กแต่ประสิทธิภาพไม่เล็กนะครับ ใช้ได้เลยล่ะ เป็นไมค์คอนเดนเซอร์ (Condenser) ที่มีรูปแบบการรับเสียงในทิศทางซูเปอร์คาร์ดิออย (Supercardioid) แต่ด้วยขนาดที่กะทัดรัด มุมรับเสียงจึงแคบกว่า โดยจะไปโฟกัสที่เสียงจากทางด้านหน้า ส่วนเสียงรบกวนรอบข้างอย่างเคาะคีย์บอร์ดหรือคลิกเมาส์ก็จะลดลงได้เป็นอย่างดี

ประเภท / รูปแบบ Condenser / Supercardioid ตัวเชื่อมต่อ USB ความถี่เสียง / ความไวเสียง 20Hz–20kHz / 17.8mV/Pa (at 1kHz) อุปกรณ์ที่รองรับ Computer น้ำหนัก N/A สี ดำ Classic Black / ชมพู Quart Pink / ขาว Mercury White

อ่านกันมาถึงตรงนี้คงจะหาคำตอบสำหรับ ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดี กันได้แล้วใช่ไหมครับ นอกจากจะดูยี่ห้อและรุ่นแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญคือต้องดูจุดประสงค์การใช้งาน ถ่ายทำวิดีโอ ทำVlog อัดเสียงร้องเพลง อัดเสียงเครื่องดนตรี และทำความรู้จักไมค์แบบต่าง ๆ จะได้เลือกใช้ได้ถูกจุดประสงค์ เวลาซื้อก็อย่าลืมดูเรื่องหัวต่อเชื่อมด้วย เพราะอุปกรณ์หลายแบบ บางครั้งก็อาจจะต้องซื้ออุปกรณ์หัวแปลงเพิ่มโดยเฉพาะ iPhone ที่มักไม่แถมหัวแปลงมาพร้อมไมค์ต้องซื้อแยกต่างหาก สุดท้ายนี้ก็ขอให้เลือกได้ไมค์ที่ถูกใจ อัดเสียงได้ไพเราะ ใช้ได้ตรงโจทย์ตรงความต้องการครับ